🏦 ได้ยินคำว่าลงทุนหลายคนก็จะตาลุกวาวเลยใช่มั้ยหล่ะ เพราะคำว่าลงทุนก็จะนึกถึงผลตอบแทนหรือกำไรทันที
แต่เดี๋ยวก่อน !!! ข่าวถูกโกงจากการลงทุนมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่อยากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกลงทุน ต้องอ่านเช็กลิสส์ 3 ข้อนี้ก่อนลงทุน ช่วยป้องกันโดนโกงจากมิจฉาชีพได้นะ
1. ศึกษาหาความรู้ก่อนลงทุน 📚
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง การลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้ จะเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพมาหลอกลวงได้ง่าย โดยปกติไม่ว่าเราจะเลือกการลงทุนอะไรก็ตามเราควรเข้าใจ ปัจจัยพื้นฐานของการลงทุน ว่าราคาจะขึ้นหรือลงมีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องทราบ นอกจากนั้นดูภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันและแนวโน้มของการลงทุนในอนาคตประกอบไปด้วย ในส่วนของข้อมูลการลงทุนควรศึกษาหาเพิ่มเติมด้วยตนเองจากหลายๆ แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรรับฟังข้อมูลเพียงด้านเดียวจากผู้ชักชวนลงทุน
2. รู้จักความเสี่ยงของการลงทุนนั้น 📉
📉 ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เราควรรู้จักทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนเริ่มลงทุน ยกตัวอย่างความเสี่ยงในการลงทุนแบรนด์เนม อาจจะแบ่งลักษณะของความเสี่ยงจากรูปแบบของการลงทุนไว้ 2 ประเภทคือ
1. การลงทุนในแบรนด์เนมทางตรง
2. การลงทุนในแบรนด์เนมทางอ้อม
การลงทุนในแบรนด์เนมทางตรง คือการซื้อกระเป๋าเพื่อการลงทุน มีความเสี่ยงที่ควรพิจารณา เช่น
- ความเสี่ยงของปลอม
- ความเสี่ยงของสูญหาย
- ความเสี่ยงของชำรุด
- ความเสี่ยงจากความผันผวนทางด้านราคา resale value
- ความเสี่ยงจากการซื้อ-ขาย มิจฉาชีพหลอกซื้อ-ขาย
การลงทุนในแบรนด์เนมทางอ้อม คือการลงทุนผ่านทองทุนรวม กองทุนที่ลงทุนในกลุ่มแบรนด์หรู
ซึ่งในไทยหลายกองทุนที่ลงทุนในกลุ่มสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ ASP-TOPBRAND, B-PREMIUM, KT-LUXURY-A, T-PREMIUM BRAND และ I-CHIC ตัวอย่าง บริษัทที่กองทุนไปลงทุน เช่น
- กลุ่ม LVMH เช่น แบรนด์ LV, Celine, Tiffany & Co., Christian Dior, Fendi, Givenchy, Loewe, TAG Heuer, and Bulgari
- กลุ่ม Kering เช่น แบรนด์ Balenciaga, Bottega Veneta, Gucci, Alexander McQueen and Yves Saint Laurent.
- กลุ่ม Richemont เช่น Lange & Söhne, Cartier, Chloé, Dunhill, IWC Schaffhausen, Giampiero Bodino, Jaeger-LeCoultre, Montblanc, Officine Panerai, Piaget and Van Cleef & Arpels
- บริษัท Hermes บริษัทที่บริหารเพียงแบรนด์เดียวและเป็นแบรนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
สำหรับ Chanel ไม่ได้อยู่ในกลุ่มใด และไม่จดทะเบียนเข้าในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันดำเนินกิจการโดยตระกูล Wertheimer ซึ่งเป็นตระกูลที่เป็นพันธมิตรกับ Coco Chanel มาตั้งแต่เริ่มต้น
สำหรับโดยผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีของการลงทุนในกองทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 10-20% ต่อปี
ถือว่าสูงกว่าผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ประมาณ -1%
การลงทุนในกองทุนมีความเสี่ยงที่ควรพิจารณาเช่นกัน โดยลักษณะการลงทุนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ความผันผวนของสินค้ากลุ่มนี้มาจาก รายได้ที่ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ โดยถ้าหากเศรษฐกิจเปิด หรือขยายตัว จะส่งเสริมให้สินค้ากลุ่มนี้ขายดีขึ้น เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมั่นใจที่จะจ่ายเงินออกไป ในทางกลับกัน หากคนไม่มั่นใจ หรือมีกำลังซื้อหดหาย กลุ่มนี้ก็จะโดนกระทบก่อนเป็นอันดับแรก และยังมีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน และระดับของความเสี่ยงของการลงทุนอยู่ในระดับมีความผันผวนสูง นอกจากความเสี่ยงของกองทุน ผู้ลงทุนควรทราบค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุนด้วยค่ะ
3. อะไรที่ดีเกินไป อาจไม่ใช่ของจริง 📈
ผลตอบแทนของการลงทุนต้องดูว่า สูงเกินจริงไปหรือไม่ ซึ่งหากดูการลงทุนในหุ้นที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูง มีผู้จัดการกองทุนเก่งๆคอยดูแลบริหาร ยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่ถึง 20% ต่อปี ดังนั้นหากมีผู้ใดเสนอผลตอบแทนสูงมาก เช่น 50% หรือ 100% ต่อเดือน ถ้าเห็นว่าให้ผลตอบแทนสูงขนาดนี้ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าอะไรที่ดีเกินไป อาจจะไม่ใช่ของจริง มิจฉาชีพมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆในช่วงแรก และหลอกลวงเงินทั้งหมดในภายหลัง จึงไม่ควรตัดสินใจโดยดูแค่ผลตอบแทน เพราะปกติการลงทุน ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนได้ ผลตอบแทนการลงทุนมักจะผันผวนตามปัจจัยต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจ ธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทการลงทุนที่ถูกกฎหมายจะไม่มีทางพูดว่า การันตีผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์แบบชัดๆ จะทำได้แค่ประมาณการผลตอบแทนเท่านั้น
💸 การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน มีโอกาสที่เงินต้นจะหายไป หรือได้กำไรงอกเงยมากขึ้น ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองหาได้ยากกว่าจะได้อย่างยากเย็น อย่าปล่อยให้มิจฉาชีพมาฉกเงินในกระเป๋าเราไปง่ายๆ ดังนั้นอย่าลืมพิจารณา 3 ข้อนี้ตั้งสติพิจารณาให้ดี ก่อนคิดลงทุนนะคะ 🩵